บทความที่ได้รับความนิยม

10 สิ่งที่ผู้หญิงคาดหวังว่าจะได้ ในวัน Valentine 

Valentine ปีนี้ ส่งผล​ ให้บรรยากาศคึกคัก  ​โดย​เฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ ​ผู้ที่​ให้​ความสำคัญกับวันวา​เลน​ไทน์ มี​เวลา​ใน​การที่จะ​เลือกซื้อสิ่งของ​เพื่อมอบ​ให้​แก่กัน และยังมี​เวลาที่จะ​ทำกิจกรรมอื่นๆร่วมกัน ​เช่น ​การรับประทานอาหาร ชมภาพยนตร์ ​เป็นต้น  ​และอยากรู้ไหมว่า 10 สิ่งที่ผู้หญิงอยาก​ได้จากคนรัก ในวันวา​เลน​ไทน์​ คือ อะไร? ..มาดูกันเลย


โรแมนติกนิดนึงละ คือ ดอกไม้ / ช่อดอกไม้ 

ช่อดอกไม้  กุหลาบแดง (red rose) จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า ‘ฉันรักเธอ’ การให้ดอกกุหลาบแดงกับคนที่รักความ หมายถึงความรักอันลึกซึ้ง จริงจัง กุหลาบแดงจึงมักจะเป็นดอกไม้ ที่ชายหนุ่มมอบให้หญิงสาวที่ตนเองตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน


อยากได้มาก ตั้งความหลังไว้สูง คือ เครื่องประดับ /สร้อยคอ/ แหวน

การให้แหวน  เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของหรือบอกเป็นนัยว่า เราเป็นคู่กัน ชายหนุ่มที่ให้แหวนกับหญิงสาว ในวันวาเลนไทน์ หมายถึง ความเป็นนิรันดร การรวมกัน ปรองดองกันเป็นหนึ่งเดียว


ถ้าได้ก็ดี น่ารักที่สุด คือ ช็อคโกแลต

เค้า ว่ากันว่า…ในยุคโรมันที่นักบุญวาเลนไทน์ได้เสียชีวิตนั้น ช็อคโกแลตยังเป็นของหายากจึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่คนรักจะมอบแทนใจให้กันและ กัน


อยากได้ๆ ไว้นอนกอดคิดถึงเธอทุกวัน คือ ตุ๊กตาหมีน่ารัก

ตุ๊กตาหมี หมายถึง การให้ความมั่นใจ ความปลอดภัย การปลอบโยนและการเป็นมิตร


จะรักกัน ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง คือ เสื้อคู่

ของขวัญวาเลนไทน์ เสื้อคู่รัก สัญลักษณ์แห่งความรัก ความจริงใจ คุณเป็นคนเอาใจใส่กับความรู้สึกของคนรักคุณ เป็นคนที่กล้าแสดงออก รักใครรักจริงและมั่นคง


หวานๆ รู้นะว่า รัก และ คิดถึง แค่ไหน คือ SMS /มือถือ/ แอพพลิเคชั่น

เป็นค่านิยม วันวาเลนไทน์  ของหนุ่ม สาว สมัยนี้ นิยมให้กันในวันพิเศษ  สำหรับ คนพิเศษ ในวันวาเลนไทน์ ส่งSMS ทางมือถือเพือจะได้ เติมความหวานด้วย แอพพลิเคชั่น น่ารักๆ มากมายเอาใจคู่รักยุคสมัยใหม่


หนึ่งในใจมีเพียงเธอ วันไหนๆก็มีค่าเสมอ คือ ดูหนังสักรอบ

ดูหนัง วันวาเลนไทน์ ถือเป็นอีกกิจกรรมสุดฮิตที่บรรดาคู่รักต่างเลือกใช้เวลาดีๆ ในวันพิเศษๆ อย่าง วันวาเลนไทน์ ไป ดูหนัง ด้วยกัน


อยากอยู่กับเธอตลอดไป คือ มื้อค่ำสุดโรแมนติก

ร้านซีร็อคโค ตั้งอยู่บนชั้น 63 ของตึกสูงระฟ้าอย่างอาคารสเตททาวเวอร์ สามารถมองเห็น วิวตึกสูงในเมืองหลวงได้ อีกด้านเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ลดเลี้ยวเป็นสายยาว บริเวณใกล้ๆ มีโซนสกายบาร์ (Sky Bar) ซึ่งเป็นบาร์เครื่องดื่มที่เป็นรูปวงกลมที่เปลี่ยนสีได้หลาย เฉดสี หรูหรา โรแมนติก เหมาะสำหรับพาคู่รักไป ดินเนอร์มื้อค่ำ


ให้รู้ว่ารักนั้นยาวนานแค่ไหน รักเทอนะ แต่ก็รักครอบครัวไม่แพ้กัน คือ ได้อยู่กับครอบครัว

วันวาเลนไทน์ เป็นวันที่ต้องอยู่กับคู่รัก สำหรับคุณที่ทำงานจนไม่มีเวลาให้กับคู่รักเลือกวันวาเลนไทน์นี้มอบ ความสุขให้ ความสำคัญกับคนที่อยู่เคียงข้าง ของคุณบ้างจะดีแค่ไหน เติมความอบอุ่นให้กับครอบครัว อีกครั้ง ในวันวาเลนไทน์นี้นะคะ


รออยู่ๆ รักหวานสุขใจ ไม่น่าเบื่อมันก็ต้องมีเซอร์ไพรกันบ้างละ คือ พาไปเที่ยวสถานที่บอกรัก

ปีนี้หากคุณและคนรักกำลังมองหาสถาน ที่แสนโรแมนติก บรรยากาศดี เป็นสถานที่บอกความ ในใจกับคนรัก หรือพาคนรักไปเติมความหวานให้กับชีวิตคู่ สนุก! ท่องเที่ยว สวยๆ มาให้คุณ เพื่อสร้างความประทับใจให้กับคนรักของคุณในวัน วาเลนไทน์ ปีนี้ไปอีกนานแสนนานมีคนเคยบอกว่า หากต้องการพิสูจน์ความรักแท้ของคุณต้องพาคู่รักไปพิชิตยอด ภูกระดึง หลังจากการพิชิตยอดภูกระดึงแล้ว คุณทั้งสองยังครองรักกันต่อไปได้ นั่นแสดงว่าคุณทั้งสองเกิดมาเพื่อเป็นคู่กัน เพราะช่วงเวลาที่เดินสู่ยอด ภูกระดึง นั้นจะเป็นสิ่งพิสูจน์รักแท้ของคุณทั้งสอง

รู้แบบนี้แล้วอย่ามัวรอช้าเลือกเอาสักข้อนะคะ มอบเป็นของขวัญแด่คนที่คุณรักไม่ว่าจะเป็นรักครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อน คนรัก … ด้วยการมอบ ของขวัญวันวาเลนไทน์ ในเทศกาลแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์  นี้นะคะ

7 แผนเด็ด ป้องกันเบาหวานด่านแรก

7 แผนเด็ด ป้องกันเบาหวานด่านแรก

เบาหวาน
7 แผน : สำหรับการป้องกันเป็นด่านแรก
ปัจจุบันตัวเลขผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ และไม่ใช่เพียงแค่คนสูงอายุเท่านั้น แต่ยังพบในเด็ก วัยรุ่น วัยทำงานมากขึ้นด้วย ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงโรคเบาหวานด้วยตัวเอง เราลองมาดู 7 วิธีการปรับพฤติกรรมที่จะช่วยป้องกันเบาหวานได้ 


 1. ลดน้ำหนักตัว : ปัจจัยเสี่ยงตัวหลักอย่างหนึ่งของโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ก็คือ ความอ้วน โดยเฉพาะเมื่อคุณมีรอบเอวที่ใหญ่

 2. ออกกำลังกาย : โปรแกรมการป้องกันโรคเบาหวานแสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกาย 30 นาที ที่ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและทำให้เหงื่อออกสัปดาห์ละห้าครั้ง ช่วยป้องกัน หรือชะลอการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้

 3. ดื่ม (กาแฟ) เพื่อสุขภาพ : นักวิจัยชาวฝรั่งเศสพบว่า สตรีที่ดื่มกาแฟวันละสามถ้วย หรือมากกว่านั้น (ทั้งแบบที่มีกาเฟอีนหรือดีแคฟ) มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานประเภทที่ 2 น้อยลง 27 เปอร์เซ็นต์

 4. ทานอบเชย หรือ cinnamon : ทานวันละครึ่งช้อนชาจะช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มของกลูโคส

 5. นอนหลับให้เพียงพอ : จากการวิจัยของวิทยาลัยแพทย์เพนน์สเตท (Penn State College of Medicine) ระบุว่า คนที่นอนไม่หลับเป็นเวลานานสักหนึ่งปี หรือคนที่นอนหลับน้อยกว่าคืนละห้าชั่วโมง มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 สูงขึ้น

 6. เลิกรับประทานข้าวขัดขาว : นักวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดระบุว่า การรับประทานข้าวขาววันละห้าหน่วยบริโภค (servings) หรือมากกว่านั้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานประเภทที่ 2 มากขึ้น 17 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่การรับประทานข้าวกล้องสัปดาห์ละสองหน่วยบริโภค หรือมากกว่านั้นจะลดความเสี่ยงลง 11 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม หากไม่ชอบข้าวกล้อง อาจแทนข้าวขาวด้วยธัญพืชไม่ขัดสีใด ๆ ก็ได้ เพราะได้ผลดีเช่นกัน

 7. อนามัยในช่องปาก : ทั้งโรคปริทันต์หรือโรคเหงือกทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย ทำให้ความไวต่ออินซูลินลดลง และทำให้ร่างกายจัดการดูแลกับระดับกลูโคสได้ยากขึ้น การศึกษาหลายครั้งแสดงให้เห็นว่า ยาสีฟันและยาล้างปากที่มีส่วนผสมของเกสรผึ้งอาจลดความอักเสบที่เหงือกลงได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

จุกลิ้นปี่ เจ็บกระเพาะ ระวังอาจไม่ใช่เพียงโรคกระเพาะ

จุกลิ้นปี่ เจ็บกระเพาะ ระวังอาจไม่ใช่เพียงโรคกระเพาะ



ปวดยอดอกโดย นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ

          อาการ ปวดยอดอก (ลิ้นปี่) บางครั้งเรียกว่า "อาการอาหารไม่ย่อย (dyspepsia)" เป็นอาการที่พบบ่อยในคนทั่วไป และมักมีสาเหตุจากโรคที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร (นิยมเรียกว่า "โรคกระเพาะอาหาร" หรือ "โรคกระเพาะ") เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ โรคแผลกระเพาะอาหาร/ลำไส้เล็กส่วนต้น โรคกรดไหลย้อน เป็นต้น

          สาเหตุเหล่านี้มักจะทำให้ทุเลาได้ด้วยยาลดกรด หรือยารักษาโรคกระเพาะที่ช่วยลดปริมาณน้ำย่อยซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดในกระเพาะ อาหาร ยากลุ่มนี้จึงจัดว่าเป็นยายอดนิยมชนิดหนึ่งที่ประชาชนทั่วไปสามารถหาซื้อมา ใช้เองแต่พึงต้องตระหนักไว้เสมอว่า อาการปวดยอดอกหรือเจ็บกระเพาะนั้นอาจเกิดจากสาเหตุอื่นก็ได้ ถ้ากินยารักษาโรคกระเพาะแล้วไม่ทุเลา หรือเคยทุเลาแต่กลับมาไม่ได้ผล (ดื้อยา) หรือเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ก็ควรจะปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัดจะดีกว่า (ดู "สาเหตุของอาการปวดยอดอก")

          ลองมาดูกรณีตัวอย่างดังต่อไปนี้กันเถอะ

ปวดบิดเกร็ง... คนละอาการกับโรคกระเพาะ

          คุณสมหญิง อายุ 35 ปี กินยาคุมกำเนิดมา 10 กว่าปี เคยมีประวัติเป็นโรคกระเพาะ เป็น ๆ หาย ๆ มา 2 ปี คราวนี้มีอาการปวดยอดอกและชายโครงขวามานานกว่าครึ่งชั่วโมง จึงกินยาลดกรดที่เคยใช้มาก่อน แต่ครั้งนี้กินไปแล้วไม่ได้ผล มีอาการปวดรุนแรงกว่าที่เคยเป็น จึงไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอซักถามอาการได้ความว่า คราวนี้มีอาการปวดแปลกกว่าที่เคย เมื่อก่อนจะปวดจุกแน่นท้องตอนหลังกินข้าว แต่ครั้งนี้ปวดแบบบิดเกร็งเป็นพัก ๆ คล้ายปวดแบบท้องเดิน หลังจากไปกินข้าวมันไก่เจ้าอร่อยมา คุณหมอส่งตรวจอัลตราซาวนด์ ก็พบว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดีตามที่สงสัย

          โรคแต่ละอย่างแม้จะมีอาการปวดที่ตำแหน่งเดียวกัน แต่จะมีลักษณะอาการปวดแตกต่างกันตามกลไกของการเกิดโรค จึงควรสังเกตลักษณะอาการที่แตกต่างกันนี้ให้ดี จะมีประโยชน์ต่อการวินิจฉัยโรคอย่างมาก

มัวแต่กินยากระเพาะ จนเมื่อน้ำหนักลด...ก็เสียเสียแล้ว

          คุณสมศรี อายุ 45 ปีเป็นพยาบาลทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลอำเภอหนึ่ง มีอาการปวดแสบลิ้นปี่ตอนก่อนกินข้าวทุกมื้อ และมักจะทุเลาหลังกินข้าวหรือดื่มนม หรือกินยาลดกรด (น้ำขาว ๆ) ปรึกษาหมอที่ใกล้ชิดก็เห็นตรงกันว่าเป็นโรคกระเพาะอยู่นาน 2 เดือนตามสูตร ก็รู้สึกว่าหายดี แต่หลังจากหยุดยาได้ไม่ถึงสัปดาห์ อาการก็กลับมาอีก จึงกินยาต่อไปเรื่อย ๆ อีก เกือบปีต่อมา คุณสมศรีสังเกตว่ายาไม่ค่อยได้ผล และน้ำหนักลดไป 2-3 กิโลกรัม จึงได้ไปปรึกษาหมอที่โรงพยาบาลจังหวัด หมอทำการส่องกล้องตรวจกระเพาะ ก็พบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะท้ายเสียแล้ว รักษาตัวอยู่ได้ไม่นานก็เสียชีวิต

          มะเร็งในบริเวณช่องท้อง (เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ) ในระยะแรกอาจมีอาการคล้ายโรคกระเพาะอย่างแยกไม่ออก บางรายหมอทำการตรวจเบื้องต้น ก็ไม่พบรอยโรค และอาจให้การรักษาแบบโรคกระเพาะนานเกือบปี จนกระทั่งก้อนมะเร็งโตขึ้นชัดเจน หรือทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) จึงค่อยพบเข้า ซึ่งก็มักจะเป็นมะเร็งในระยะท้าย ๆ

          ดังนั้น ทางการแพทย์จึงวางแนวทางไว้ว่า เมื่อมีอาการปวดลิ้นปี่ในลักษณะใด หรือถึงเวลาใดควรจะต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม (ดู "บทสรุป")

มาห้องฉุกเฉินได้ยาโรคกระเพาะ...กลับไปตายกลางทาง

          คุณลุงสมศักดิ์ อายุ 65 ปี เป็นโรคเบาหวานมา 10 กว่าปี คุมน้ำตาลได้ไม่ดีมาตลอด น้ำหนัก 75 กก. สูบบุหรี่วันละเกือบซอง ไมได้ออกกำลังกาย ตอนหลังยังตรวจพบระดับไขมันในเลือดสูง

          ค่ำวันหนึ่งหลังกินอาหารเย็น คุณลุงรู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่ ลองกินยาหอมก็ไม่ดีขึ้น เป็นอยู่นานร่วม 2 ชั่วโมง จึงเหมารถไปตรวจที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำอำเภอ หมอตรวจดูเบื้องต้นก็วินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะ จ่ายยารักษาโรคกระเพาะให้กลับไปบ้านระหว่างเดินทางกลับ คุณลุงก็เสียชีวิตอย่างกะทันหัน

          ที่แท้คุณลุงเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หากตรวจไม่ถี่ถ้วนก็จะคิดว่าเป็นเพียงโรคกระเพาะ ดังนั้น โรงพยาบาลส่วนใหญ่จึงได้วางแนวทางในการรักษาอาการปวดลิ้นปี่/เจ็บหน้าอกไว้ ว่า ควรตรวจหาโรคหัวใจในกรณีใดบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น กรณีคุณลุงสมศักดิ์มีปัจจัยเสี่ยงถึง 6 อย่าง ได้แก่ อายุมากกว่า 55 ปี น้ำหนักตัวเกิน โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ และขาดการออกกำลังกาย (ดูเรื่อง "ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ")

โทร.ทางไกลปรึกษาเรื่องโรคกระเพาะ...ลงเอยด้วยการทำบอลลูนหัวใจ

          ค่ำวันหนึ่งเมื่อเกือบ 10 ปีมาแล้ว ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณสมชัย เพื่อนรุ่นพี่ที่ไปทำงานอยู่ที่พัทยา คุณสมชัย (อายุ 58 ปีในตอนนั้น) รักษาโรคความดันมาเกือบ 20 ปี สูบบุหรี่วันละครึ่งซอง เขาบอกว่า 2-3 วันมานี้รู้สึกมีอาการจุกแน่นตรงลิ้นปี่เป็นบางครั้ง มักเป็นหลังกินอาหารอิ่ม ๆ แต่ละครั้งจะเป็นอยู่นานชั่วครู่เดียว ก็ทุเลาไปเอง ผมถามย้ำว่ามีอาการปวดร้าวขึ้นไปที่คอ หัวไหล่ ขากรรไกรร่วมด้วยหรือไม่ เขาก็ยืนยันว่าไม่มี

          เมื่อดูถึงปัจจัยเสี่ยง (อายุเกิน 55 ปี เป็นโรคความดันสูง สูบบุหรี่ รวมทั้งไม่ค่อยได้ออกกำลังและน้ำหนักมากตามที่ผมทราบอยู่แล้ว) แม้อาการโรคหัวใจมีไม่ครบเครื่อง คือ ไม่มีอาการปวดร้าวขึ้นข้างบน (ซึ่งอาจพบในผู้ป่วยบางรายได้) ผมก็ยังไม่วางใจ จึงแนะนำให้เขาไปตรวจหัวใจที่โรงพยาบาล จากการตรวจคลื่นหัวใจและทดสอบด้วยการวิ่งสายพาน ก็พบว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือด และได้ทำบอลลูนหลอดเลือดหัวใจ 2 เส้น พร้อมกับใส่สะเตนต์ (stent-หลอดลวดตาข่ายถ่างอยู่ภายในหลอดเลือด) 2 เส้น ราคาเส้นละ 1 แสนบาท

          หลังจากนั้นเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ของผมก็เลิกบุหรี่ ออกกำลัง และรักษาตัวอย่างจริงจัง มีสุขภาพแข็งแรงมาจนทุกวันนี้

บทสรุป


เมื่อไรควรคิดถึงเหตุอื่นมากกว่าโรคกระเพาะ

          
ผู้ที่มีอาการปวดยอดอก (ลิ้นปี่) ควรคิดถึงโรคอื่นมากกว่าโรคกระเพาะ เมื่อมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
           มีอาการปวดต่อเนื่องนานเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ ไม่ยอมหาย
           มีอาการปวดรุนแรง
           มีอาการปวดร้าวขึ้นไปที่คอ หัวไหล่ หรือขากรรไกร
           รู้สึกใจหวิว ใจสั่น หน้ามืด เป็นลม
           อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
           น้ำหนักลด
           อาเจียนเป็นเลือด หรือ ถ่ายอุจจาระดำ
           คลำได้ก้อนในท้อง
           มีลักษณะปวดบิดเกร็งเป็นพัก ๆ
           กินยารักษากระเพาะไม่ได้ผล หรือได้ผลตอนแรกแต่ตอนหลังไม่ได้ผล

เมื่อไรควรส่องกล้องตรวจกระเพาะ

          ทางการแพทย์ได้วางแนวทางไว้ว่า ผู้ที่มีอาการของโรคกระเพาะ (แสบท้องเวลาหิว หรือจุกแน่นท้องเวลาอิ่ม เกือบทุกมื้อ) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อส่องกล้องตรวจกระเพาะ เมื่อมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

           อายุมากกว่า 40 ปี (เพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร)
           กินยารักษาโรคกระเพาะ 1-2 วันแล้วไม่ได้ผลเลย
           กินยารักษาโรคกระเพาะ 2 สัปดาห์แล้วยังไม่หายดี ขาดยาเพียง 1-2 มื้อกลับกำเริบอีก
           กินยารักษาโรคกระเพาะจนครบ 2 เดือน จนรู้สึกว่าหายดีแล้ว หลังจากหยุดยานานเป็นแรมเดือน หรือแรมปีกลับมามีอาการกำเริบอีก

สาเหตุของอาการปวดยอดอก (ลิ้นปี่)

กลุ่มโรคฉุกเฉินที่ต้องรีบเข้ารักษาโรงพยาบาลที่สำคัญ ได้แก่

          1.โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (acute myocardial infarction) ผู้ ป่วยจะมีอาการปวดเค้นหรือจุกแน่นตรงบริเวณยอดอก (ตรงกลางลิ้นปี่) มักมีอาการปวดร้าวขึ้นไปที่คอ หัวไหล่ ขากรรไกร อาการมักรุนแรงหรือปวดอย่างต่อเนื่องไม่หาย (นานเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ ) มีอาการอ่อนเปลี้ย หมดแรง ใจหวิว ใจสั่น และอาจมีอาการหน้ามืด เป็นลม หรือหัวใจวายกะทันหัน

          2.โรคกระเพาะอาหารทะลุ (peptic perforation) ผู้ ป่วยจะมีอาการปวดจุกแน่นตรงลิ้นปี่ฉับพลัน และเป็นต่อเนื่องไม่หาย (นานเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ) มักมีอาการใจหวิว ใจสั่น หน้ามืดเป็นลม หน้าท้องเกร็งแข็ง

กลุ่มโรคไม่ฉุกเฉิน ที่พบบ่อย ได้แก่

           1.โรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ (angina pectoris) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเค้นหรือจุกแน่นหน้าอกตรงบริเวณยอดอก (ลิ้นปี่) มักมีอาการปวดร้าวขึ้นไปที่คอ หัวไหล่ ขากรรไกร มักมีอาการเจ็บหน้าอกเพียงครู่เดียว นานไม่เกิน 5 นาที นั่งพักก็จะทุเลาได้เอง

           2.โรคแผลกระเพาะอาหาร / ลำไส้เล็กส่วนต้น (peptic ulcer) ผู้ ป่วยจะมีอาการแสบลิ้นปี่เวลาหิว จุกแน่นลิ้นปี่หลังกินอาหารนาน ประมาณ 30-60 นาที เวลากินยาลดกรด (ยารักษาโรคกระเพาะ) อาการจะทุเลา มักมีอาการเวลาก่อนหรือหลังเกือบทุกมื้อ

           3.โรคกรดไหลย้อน (GERD) ผู้ป่วยจะมีอาการแสบหรือจุกแน่นลิ้นปี่ อาจมีอาการเรอเปรี้ยวขึ้นไปที่ลำคอ แสบหรือจุกแน่นที่ลำคอ มักเป็นหลังกินอาหารหรือเวลาเข้านอน เวลากินยาลดกรด (ยารักษาโรคกระเพาะ) อาการจะทุเลา

           4.โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร (cancer of stomach)แรกเริ่มจะมีอาการแบบโรคกระเพาะอาหาร แต่อีกหลายเดือนต่อมาอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักลด อาจมีอาการอาเจียน อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ

           5.โรคนิ่วน้ำดี หรือนิ่วในถุงน้ำดี (gallstone) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตรงลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงข้างขวา มีลักษณะปวดบิดเกร็งเป็นพัก ๆ (ปวดในลักษณะคล้ายอาการปวดท้องเดินหรือปวดประจำเดือน) นาน 15-30 นาที หรือนาน 2-6 ชั่วโมง แล้วทุเลาไปได้เอง บางรายอาจมีอาการปวดร้าวขึ้นไปที่ไหล่ขวา หรือใต้สะบักขวา อาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย ผู้ป่วยจะมีอาการกำเริบเป็นบางวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกินอาหารมัน

           6.โรคตับ : ตับอักเสบ (hepatitis) ตับแข็ง (cirrhosis) มะเร็งตับ (cancer of liver/hepatoma) ผู้ป่วยมักมีอาการจุกแน่นตรงลิ้นปี่หรือใต้ชายโครง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย อาจมีอาการตาเหลืองตัวเหลืองร่วมด้วย ถ้าเป็นมะเร็งตับมักมีอาการน้ำหนักลดฮวบฮาบ และคล้ำได้ก้อนที่ใต้ชายโครงขวา
 ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

ปัจจัยที่แก้ไขไม่ได้

          อายุ : ชายมากกว่า 55 ปี หญิงมากกว่า 65 ปี
          พันธุกรรม : มีญาติสายตรงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (ชายอายุน้อยกว่า 55 ปี หญิงอายุน้อยกว่า 65 ปี)

ปัจจัยที่แก้ไขได้

          เบาหวาน
          ความดันโลหิตสูง
          ไขมันในเลือดสูง
          ภาวะอ้วน
          สูบบุหรี่
          ขาดการออกกำลัง

อาการแสดงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

          ปวดเค้นหรือจุกแน่นตรงยอดอก (ตรงกลางลิ้นปี่) และมักปวดร้าวขึ้นไปที่คอ หัวไหล่ ขากรรไกร แต่บางรายอาจไม่มีอาการปวดร้าวแบบนี้ก็ได้

          มักมีเหตุกำเริบ ขณะทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง (เช่น ยกของหนัก เดินขึ้นบันไดสูงหลายชั้น ออกกำลังหนัก) มีอารมณ์เครียด ขณะสูบบุหรี่ หลังกินอาหารอิ่ม ๆ อาบน้ำเย็น หรือถูกความเย็น

ถ้าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ

          ผู้ป่วยมักมีอาการเจ็บหน้าอกเพียงครู่เดียว นานไม่เกิน 5 นาที เมื่อนั่งพักก็จะทุเลาได้เอง มักเป็น ๆ หาย ๆ เป็นครั้งคราว ขณะไม่มีอาการกำเริบ ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายดี

ถ้าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

          ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงหรือปวดอย่างต่อเนื่องไม่หาย มีอาการอ่อนเปลี้ย หมดแรงใจหวิวใจสั่น และอาจหน้ามืด เป็นลม หรือหัวใจวายกะทันหันเกิน 5 นาที เป็น ๆ หาย  เมื่อมีเหตุกำเริบ

 

การนอนที่ไม่ควรทำ 5 ประการ

การนอนที่ไม่ควรทำ 5 ประการ 








  อย่าที่ 1 คือ อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ
ก็เพราะขณะที่นาฬิกาเจ้ากรรมทำงานไปเรื่อยๆ นั้น เจ้านาฬิกาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย

   อย่าที่ 2 นี่ สำหรับพวกชอบคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับโดยเฉพาะเลย ไม่ควรนอนหลับไปพร้อมๆ กับโทรศัพท์เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงการวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย
บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ใกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา ขณะเปิดเครื่องไว้และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิเพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวาง
ไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง


  อย่าที่ 3 ง่ายๆ สั้นๆ คือ อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อน
เมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะ

   อย่าที่ 4 (สำหรับสาวๆ เท่านั้น) คือ อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง

นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรงไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า

   อย่าที่ 5 อันนี้เหมาะกับทุกเพศเลยนะ “อย่านอนกับสามีหรือภรรยาของคนอื่น

เพราะคุณอาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย …อันนี้ไม่ได้ล้อเล่นนะ ใครที่ยังทำทั้ง 5 อย่าอยู่ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ดูแลสุขภาพตัวเองดีๆนะ ยิ่งอย่าสุดท้าย ยิ่งน่ากลัว

อาหารย่อยง่าย ให้คุณประโยชน์สูง

อาหารย่อยง่าย ให้คุณประโยชน์สูง



 อาหารย่อยง่าย
 เหตุจากการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา ในยุคสมัยนี้ต้องพบกับความเร่งรีบอยู่แทบจะตลอดเวลา ทำให้คนต้องรีบหาอาหารแบบเร่งด่วนเช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด มาทานเพื่อประหยัดเวลา แต่ปรากฏว่าเมื่อรับประทานเข้าไปบ่อย ๆ ก็อาจทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อยจากกรดในอาหารที่มากเกินไปได้ ดังนั้น เราขอแนะนำอาหารชั้นดีที่สามารถช่วยแก้ปัญหาระบบการย่อยอาหารในท้องของคุณ เพื่อให้คุณมีสุขภาพที่ดีต่อไปครับ 
    ผลไม้

                
ผลไม้ ถูกจัดให้เป็นอาหารพื้นฐานที่มีความจำเป็นต่อร่างกายและมีคุณประโยชน์สูงอีก ชนิด อีกทั้งยังหารับประทานได้ไม่ยาก เนื่องจากผลไม้มีใยอาหารสูงจึงทำให้กลายเป็นอาหารที่ช่วยในการปรับระบบย่อย อาหารในร่างกายของเราได้อย่างดี ตัวอย่างเช่น แอปเปิ้ล แตงโม มะละกอ มะม่วง และสตรอเบอร์รี่ ซึ่งผลไม้พวกนี้นอกจากจะมีไขมันต่ำแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย
    ข้าว        เป็นอาหารอีกชนิดที่ย่อยง่าย ซึ่งภายในข้าวจะอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต และสารอาหารอื่น ๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ดังนั้น ข้าวจึงเป็นอาหารหลักที่สำคัญต่อคนเรา เพราะข้าวนั้นช่วยลดการคัดหลั่งของเหลวในกระเพาะอาหารซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำ ให้คุณอารมณ์เสียและไม่สบายใจได้     เนื้อไก่      
     สำหรับอาหารจำพวกเนื้อสัตว์แล้ว เนื้อไก่ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณเช่นกันเมื่อกำลังมองหาอาหารที่ย่อย ง่าย นอกจากนี้เนื้อไก่ยังเต็มไปด้วยโปรตีนชั้นดี วิตามินครบครัน และมีแคลอรี่ต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ลดน้ำหนัก ผู้ป่วย และผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี  ซุป      อาหารจำพวกซุปชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะซุปผักจัดเป็นอาหารช่วยย่อยอย่างดีเลยทีเดียว เพราะในน้ำซุปนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการที่ร่างกายต้องการอยู่หลายประเภท ด้วยเหตุนี้หากคุณมีอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ขอแนะนำเลยว่าการรับประทานซุปเพียงหนึ่งถ้วยก็สามารถช่วยบรรเทาอาการของคุณ ได้อย่างชะงักแล้ว  โยเกิร์ต
       ในโยเกิร์ตนั้นมีจุลินทรีย์และแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายที่ช่วยใน การย่อยอาหาร ซึ่งมีผลทำให้สุขภาพของระบบย่อยอาหารดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย และสามารถทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาลง รวมทั้งยับยั้งการเป็นโรคกระเพาะได้อีกด้วย 
 
  ผักใบเขียว
       กะหล่ำปลี ผักบุ้ง ผักขม หรือผักใบเขียวชนิดอื่น ๆ เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วสามารถช่วยขจัดสารอาหารที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะ อาหารได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก เนื่องจากสารอาหารที่อยู่ในผักใบเขียวนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสารอาหารที่มี ประโยชน์ต่อร่างกายแทบทั้งสิ่น ทั้งให้พลังงาน สร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ด้วยนะ

  
ข้าวโอ๊ต
       ข้าวโอ๊ต มีเส้นใยอาหารค่อนข้างสูง โดยรู้กันว่าสามารถบรรเทาอาการปวดท้องได้ และการรับประทานข้าวโอ๊ตเป็นประจำยังช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย รวมทั้งช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้เป็นข้าวโอ๊ตเป็นอาหารเพื่อสุขภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบ

       คราว นี้ การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมซึ่งช่วยในการย่อยนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับคุณอีกต่อไป ซึ่งอาหารทั้งหลายที่กล่าวมาข้างต้นนี้ให้ประโยชน์กับคุณได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม การเลือกรับประทานอาหารนั้นต้องเลือกให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมด้วย เพราะหากว่าคุณเน้นรับประทานอาหารเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป อาจทำให้คุณขาดสารอาหารชนิดอื่นที่มีความจำเป็นต่อร่างกายได้เช่นกัน ดังนั้น เลือกรับประทานอาหารที่ดีอย่างเพียงพอ รับรองว่าคุณจะมีสุขภาพที่ดีแน่นอน..
   

8 ผักสวนครัวมากประโยชน์

8 ผักมากประโยชน์ (Modern Mom)
          หากใจรักการปลูกต้นไม้ใบหญ้าละก็ แนะนำให้ปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้กินค่ะ เพราะบางต้นสวยด้วย กินได้ด้วย ประโยชน์ครบถ้วนด้วย ไปดูผักสวนครัวถ้ามีรั้วก็ปลูกได้ค่ะ จะเลือกผักหรือเลือกต้นไม้แบบไหนนั้น หลักการเลือกคือต้อง "ง่าย" ปลูกง่าย ดูแลง่าย กินง่าย และได้รับประโยชน์ไปอย่างง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน... มาดูผักตระกูลง่าย ๆ กันค่ะ"

ผักชี
         โดดเด่นด้วยการดับกลิ่นคาวในอาหารโดยเฉพาะ หลายคนอาจจะไม่ชอบกลิ่น แต่ผักชีมีประโยชน์ไม่น้อย แถมปลูกไว้ในสวนให้อารมณ์เหมือนดอกไม้ด้วยนะคะ

ประโยชน์

          กลิ่นไม่ดีแต่ช่วยให้เจริญอาหารได้นะคะ รักษาอาการหวัด ละลายเสมหะ ขับเหงื่อและขับลม ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ โดยใช้ต้นผักชีสด ๆ หรือผักชีตากแห้งนำไปต้มกับน้ำ คั้นเอาเฉพาะน้ำและดื่มจิบระหว่างวัน

ปูเล่          ชื่อแปลกหูแต่ประโยชน์ไม่น้อยค่ะ ปลูกง่ายสวยด้วย อารมณ์เหมือนปลูกดอกไม้กินได้ค่ะ

ประโยชน์

          ปูเล่มากด้วยเบต้าเคโรทีน มีส่วนช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ป้องกันโรคมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือด และเบต้าเคโรทีนยังมีจุดเด่นเรื่องการบำรุงสายตาและผิวพรรณให้สดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และโรคหวัดด้วย แถมด้วยแคลเซียมด้วยนะคะ ประโยชน์มากโข ไม่มีปลูกไว้ไม่ได้แล้วนะคะ

สะระแหน่
          มีฤทธิ์เย็นรสเผ็ดนิดหน่อย รสชาติออกมินต์แบบไทย

ประโยชน์

          ช่วยขับเหงื่อและความร้อน ขับพิษไข้ หรือใช้ใบสด  นำมาตำให้ละเอียดพอกบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อย หากมีอาการบิด หรือท้องร่วง
ใช้ใบสดต้มดื่มแต่น้ำและถ้าใช้สะระแหน่สด   บดแล้วทาบนผิวจะช่วยไล่ยุงได้ ส่วนกลิ่นของสะระแหน่ หากนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยมีส่วนช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ได้

พริก
          ตัวเล็กกะจิ๊ด แต่ฤทธิ์เธอมากมีนะคะ ลำต้นเล็ก ขึ้นง่าย ไม่ลำบากในการดูแล เลือกต้นกล้าดูท่าแข็งแรงแล้วปลูกลงในกระถาง รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ตากแดดริมระเบียงก็ได้ค่ะ เพราะเป็นไม้ทนแดดได้ดี

ประโยชน์

          พริกมีวิตามินซีสูง เบต้าแคโรทีนหรือวิตามินเอ และกรด Ascorbic มีส่วนช่วยขยายเส้นเลือดในลำไส้ ช่วยในการดูดซึมอาหารให้ดีขึ้น นอกจากนี้ในพริกยังมีสาร Capsaicin สารที่ให้ความเผ็ด และคุณสมบัติช่วยลดความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อต่าง ๆ และเดี๋ยวนี้มีรูปแบบครีมหรือโลชั่นแล้ว ระหว่างวันหากรู้สึกปวดเมื่อยลองทาครีมหรือโลชั่นส่วนผสมจากพริกดูนะคะ ช่วยคลายความปวดเมื่อยได้ค่ะ

มะเขือ..
 อีกหนึ่งตระกูลมะที่มีประโยชน์ ขึ้นง่าย และไม่ต้องดูแลให้ยุ่งยาก
ประโยชน์
          มะเขือเปราะถึงจะมีรสชาติออกขมและเฝื่อนสำหรับบางคนที่บอกตรงกันว่ากินยาก แต่มะเขือมีประโยชน์มากมายค่ะ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ฆ่าเชื้อแบคทีเรียขับปัสสาวะ และขับลมในร่างกาย มีประโยชน์ต่อตับอ่อน และช่วยบรรเทาอาการโรคเบาหวาน เพราะมีสรรพคุณคล้ายกับอินซูลินช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด สำหรับคนที่ต้องการจะเริ่มต้นกิน หากยังกินแบบสดไม่ได้ ให้เลือกที่ใส่ลงในแกงก่อนนะคะ จะได้กินง่ายไม่ฝืนเกินไปค่ะ

โหระพา
          ปลูกง่าย ขึ้นง่าย ใบเยอะ มากประโยชน์ แถมเมล็ดสีม่วงที่ขึ้นอยู่กับช่อ นอกจากสีจะสวยแล้วยังมีประโยชน์ด้วยค่ะ

ประโยชน์

          ลำต้นสด ๆ นำมาต้มกินกับน้ำ ดื่มแล้วช่วยบรรเทาอาการปวดและแก้หวัด หรือใช้ใบสด ๆ นำมาตำให้ละเอียดพอกบริเวณที่มีแผลฟกช้ำ บรรเทาอาการกลากเกลื้อน และแมลงสัตว์กัดต่อย ส่วนเมล็ดนำไปแช่น้ำจนพองเป็นเมือก แล้วกินใช้เป็นยาระบาย เพราะเข้าไปเพิ่มกากใยภายในลำไส้

มะกรูด
          จัดอยู่ในกลุ่มของสมุนไพรชั้นเลิศของไทยมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่ประโยชน์ก็จัดจ้านไม่น้อยเลยค่ะ แถมกลิ่นของต้นมะกรูดปลูกไว้หลังห้องกลิ่นจะช่วยไล่แมลงบางชนิดได้อีกด้วยนะคะ

ประโยชน์

          เริ่มต้นที่การนำใบมะกรูดมาเป็นเครื่องแกงค่ะ ช่วยดับกลิ่นคาวในอาหาร และช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ หรือจะช่วยบรรเทาอาการเลือดออกตามไรฟันด้วยการนำใบสด ๆ มาถูฟัน หรือมีเวลามากหน่อยอยากได้น้ำมะกรูดจิบระหว่างวัน ก็ผ่านเปลือกบาง ๆ นำไปชงในน้ำเดือด ใส่การบูรลงไปเล็กน้อย จะช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะได้ และปิดท้ายเรื่องความสวยงามหากเวลาน้อยแต่อยากมีผมที่ดกดำ และยังช่วยกำจัดเชื้อราบริเวณหนังศีรษะได้อีกด้วย

กระเพา          ผัดกะเพราไก่ไข่ดาวเมนูที่ใคร ๆ ก็ว่าสิ้นคิด แต่มื้อกลางวันของบ้าน ลองผัดกะเพราหรือจะกินสดได้ประโยชน์เต็ม ๆ

ประโยชน์

          ช่วยขับลมบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ วัยเบบี๋ใช้ใบกะเพรา 1 ใบ ตำให้ละเอียดแล้วเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา จากนั้นใช้สำลีชุบ 1-2 หยดให้ลูกกิน ช่วยขับขี้เทาได้ด้วยค่ะ หรือถ้าเป็นเด็กโตใช้ใบกะเพราสดขยี้แล้วทาที่ท้อง ส่วนคุณแม่หลังคลอดใส่ใบกะเพราลงในแกงเลียงจะช่วยป้องกันอาการท้องอืด แนะนำว่าเป็นกะเพราแดงจะมีฤทธิ์แรงกว่ากะเพราชนิดอื่น มื้อนี้คงไม่เบื่อกะเพรากันแล้วนะคะ

มะเขือเทศ
          ลูกเล็กส้ม แดง ต้นไม่ใหญ่ แต่ประโยชน์มากมี กินแล้วผิวสวยเชียวค่ะ เลือกปลูกมะเขือเทศต้นเล็ก แต่อย่าลืมหาไม้หลักปักให้ด้วยนะคะ เพราะมะเขือเทศเป็นไม้เลื้อยค่ะ

ประโยชน์

          มะเขือเทศเป็นราชินีของวิตามินซี เมื่อเทียบกับมะเขือเทศขนาดปานกลางจะมีปริมาณวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล แถมยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ ไลโคปีน มีคุณสมบัติช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก และสำหรับสาว ๆ เรื่องบิวตี้มะเขือเทศก็เป็นนางเอกชั้นดี เพราะเครื่องสำอางหลายเจ้าก็มีส่วนผสมของมะเขือเทศ วิธีง่าย ๆ อย่างใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรือใช้มะเขือเทศผ่านบาง ๆ จะช่วยสมานผิวหน้าให้เต่งตึง ลดริ้วรอย ผิวนุ่มชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ผิวหน้าอ่อนนุ่มด้วยการแปะลงบนหน้าค่ะ
เราหันมารักษาสุขถาพแบบไทยๆเราก็ดีนะคะ..

" ข้อคิด - คำคม "



. สิ่งหนึงที่สามารถเชื่อมความหลากหลาย
ของมุมมอง ให้กลายเป็นความสมดุลได้
นั่นก็คือ ...

" การมองด้วยความเข้าใจ "

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ที่มุมมองของเรา
ว่าจะเลือกมองในมุมไหน ถ้ามองในด้านบวก
สิ่งนั้นก็จะเป็นครูสอนเรา ให้เกิดปัญญาได้

แม้ว่าการยอมรับความจริงในบางเรื่อง
จะทำให้รู้สึกอายบ้าง ... แต่นั่นก็ดีกว่า
" การหยิ่งทะนงท่ามกลางความเขลา "
ที่คิดว่าตนเป็น ... " คนฉลาด "

การเริ่มต้นที่รู้จักให้ ... จากใจที่พร้อมเสียสละ
ชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ " การสร้างสุขที่ยั่งยืน "



ความสุขที่เกิดจาก " การให้ " หรือ " แบ่งปัน "
เป็นความรู้สึกดี ๆ ที่เรียบง่าย และ งดงามอยู่ในต้ว

. ความสุขมิได้อยู่ไกลตัว และมิใช่สิ่งที่ต้องแสวงหา
เพราะ แท้จริงความสุขอยู่กับเราแล้วทุกขณะ
และตามเราไปทุกหนแห่ง แต่เรามองไม่เห็นเอง
เพราะ มันอยู่ใกล้อย่างยิ่ง ไม่ต่างจาก
ปลายจมูกที่มักถูกมองข้าม



เพียงแค่รู้จักชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่
ก็จะสุขได้ไม่ยาก ยิ่งได้สัมผัสกับ
ความสงบเย็นภายใน
ก็จะพบว่าความสุขที่แท้นั้น
อยู่กลางใจเรา ... นี้เอง


ทุกๆ เรื่องราวน้อยใหญ่ในชีวิต
บางทีมันอาจจะทำให้คุณได้พบว่า ...
" ที่จริงแล้ว ... ชีวิตนี้มันก็เป็นแค่
สิ่งเรียบง่ายสิ่งหนึ่งเท่านั้น "


แท้จริงแล้ว ... หัวใจของความสุข
ไม่ได้อยู่ที่ความไม่ทุกข์
แต่อยู่ที่ ทุกข์แล้วจะปล่อยวางได้ไหม
....... และเป้าหมายของการมีชีวิต
ก็ไม่ใช่การเกิดมามีทุกอย่างดั่งที่ฝัน

แต่คือการพยายามทำความฝันให้กลายเป็นจริงให้ได้
ถ้าไม่มีอะไร ให้ต้องคิด ให้ต้องทำ ให้ต้องทุกข์
จะมีชีวิตอยู่ทำไม จำไว้ว่า ...


" ชีวิตมันจะมีคุณค่า และ ความหมาย
ก็ตรงที่เราได้ต่อสู้ นี่แหละ ! "





เมื่อมีโอกาสเข้ามา ก็ไขว่คว้า
เมื่อมีปัญหาเข้ามา ก็ต่อสู้ฝ่าฟัน
เมื่อสุข ก็อยู่ไปอย่างสุข เมื่อทุกข์ ก็อยู่ไปอย่างทุกข์
มันมีเท่านั้นจริง ๆ สำหรับคำว่า "ชีวิต"

ปรียบชีวิตเสมือนดอกหญ้าดอกหนึ่ง
ที่วันหนึ่งก็ต้องโบกลาต้น แสงตะวัน และโลก
คงเหลือเพียงทิ้งเชื้อของตน ... ให้งอกงาม
เป็นต้นหญ้า ที่ประดับโลกต่อไป....